เมนู

ดำรงอยู่ พระศาสนาก็ย่อมดำรงอยู่. ลิงค์ (เพศ) ย่อมดำเนินไปสู่กาลนาน. ก็
วงศ์แห่งสมณะผู้ครองผ้าขาว (เสตวตฺถสมณวํโส) ไม่อาจเพื่อทรงพระศาสนา
ไว้จำเดิมแต่การแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสป. นับตั้งแต่การแทงตลอด
สัจจะของชนผู้เกิดในภายหลัง และตั้งแต่สีลเภทคือการแตกไปแห่งศีลของ
บุคคลผู้เกิดในภายหลัง (แห่งพุทธกาลแล้ว) จากนั้นมา พระศาสนา ชื่อว่า
ย่อมเสื่อมถอย. จำเดิมแต่นั้นมา ความบังเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าพระองค์อื่น
อันอะไร ๆ มิได้ห้ามไว้.

ปรินิพพาน 3


ชื่อว่า ปรินิพพาน มี 3 คือ
กิเลสปรินิพพาน
ขันธปรินิพพาน
ธาตุปรินิพพาน
บรรดานิพพานเหล่านั้น กิเลสปรินิพพาน (การดับสนิท
เเห่งกิเลส) ได้มีแล้วที่โพธิบัลลังก์.

ขันธปรินิพพาน (การดับสนิทแห่งขันธ์) ได้มีแล้ว ณ พระ-
นครกุสินารา.

ธาตุปรินิพพาน (การดับสนิทแห่งพระธาตุ) จักมีในอนาคต
กาล.

ได้ยินว่า ในกาลที่พระศาสนาจะเสื่อมถอย พระธาตุทั้งหลายที่ตัมพ-
ปัณณิทวีป (ทวีปลังกา) จักประชุมกันแล้วเสด็จไปสู่มหาเจดีย์. ต่อแต่นั้นจัก
ไปสู่ต้นไม้ราชายตนะ (ต้นไม้เกด) ในนาคทีปะ จากนั้นจักไปสู่มหาโพธิบัลลังก์.

พระธาตุทั้งหลายแต่นาคพิภพก็ดี แต่พรหมโลกก็ดี จักเสด็จไปสู่ต้นมหาโพธิ-
บัลลังก์เท่านั้น. พระธาตุแม้ประมาณเท่าเมล็ดผักกาดจักไม่สูญหายไปในระหว่าง
ทาง. พระธาตุทั้งหมดจักประชุมรวมเป็นแท่งเดียวกัน ดุจแท่งทองคำ ณ
มหาโพธิบัลลังก์แล้วจักเปล่งออกซึ่งฉัพพัณณรังสี (รัศมีมีวรรณะ 6 ประการ)
ฉัพพัณณรังสีนั้นจักแผ่ไปตลอดหมื่นโลกธาตุ. ในลำดับนั้น เทวดาในหมื่น
จักรวาล จักมาประชุมกัน จักกระทำซึ่งความกรุณาอันยิ่งใหญ่กว่าวันที่พระ-
ทศพลปรินิพพาน แล้วจักกล่าวว่า วันนี้ พระศาสดาจะปรินิพพาน วันนี้
พระศาสนาจะเสื่อมถอย บัดนี้ การเห็นของพวกเรานี้ เป็นการเห็นครั้งสุดท้าย
ดังนี้. บุคคลทั้งหมดที่เหลือยกเว้นพระอนาคามีและพระขีณาสพแล้ว จักไม่
อาจเพื่อทรงไว้โดยภาวะของตน. ลำดับนั้น เตโชธาตุในพระธาตุทั้งหลายจัก
ตั้งขึ้นแล้วพวยพุ่งไปถึงพรหมโลก. เมื่อพระธาตุแม้มีประมาณเท่าเมล็ดผักกาด
ยังมีอยู่ เปลวอัคคีหนึ่งเทียวจักมี ครั้นเมื่อพระธาตุทั้งหลายถึงกาลสิ้นสุดลงแล้ว
เปลวอัคคีนั้นก็จักดับสนิท. ครั้นพระธาตุทั้งหลายแสดงอานุภาพอันใหญ่ด้วย
ประการฉะนี้แล้ว ก็อันตรธานไปสิ้น พระศาสนาย่อมชื่อว่าอันตรธานไปแล้ว.
พระพุทธเจ้าทั้งหลายพึงอุบัติขึ้นพร้อมกันทั้งสองพระองค์ ข้อนี้นั้น ไม่เป็น
ฐานะที่มีได้ ด้วยประการฉะนี้.
ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมไม่ทรงอุบัติขึ้น
พร้อมกัน.
ตอบว่า เพราะไม่มีความอัศจรรย์.
จริงอยู่ พระพุทธเจ้าทั้งหลายทุกองค์ล้วนเป็นมนุษย์อัศจรรย์.
เหมือนอย่าง ที่ได้ตรัสไว้ว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลคนหนึ่ง เมื่อบังเกิดขึ้นในโลก
ย่อมบังเกิดขึ้นเป็นมนุษย์ผู้อัศจรรย์ บุคคลคนหนึ่ง เป็นไฉน ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย บุคคลคนหนึ่ง คือพระตถาคตผู้เป็นพระอรหันต-
สัมมาสัมพุทธเจ้า
1ดังนี้
อนึ่ง ถ้าพระพุทธเจ้า 2 พระองค์ หรือ 3, 4, 8 หรือ 16 พระองค์
พึงบังเกิดขึ้นพร้อมกันไซร้ ความอัศจรรย์ทั้งหลาย ก็ไม่พึงมี เพราะว่า ลาภ
สักการะย่อมไม่โอฬาร แม้ลาภสักการะของพระเจดีย์ทั้งสองในวิหารเดียวกันก็
ไม่โอฬาร (ใหญ่). แม้แต่ภิกษุทั้งหลาย ก็ไม่อัศจรรย์ เพราะเหตุนั้น พระ-
พุทธเจ้าทั้งหลาย จึงไม่ทรงอุบัติขึ้นพร้อมกันด้วยประการฉะนี้. และเพราะ
ความที่พระธรรมเทศนาก็เป็นสภาพไม่แปลกกันเลย. จริงอยู่ พระพุทธเจ้า
พระองค์หนึ่ง ย่อมแสดงธรรมมีสติปัฏฐานเป็นต้น พระธรรมนั้นแหละ อัน
พระพุทธเจ้าพระองค์อื่นก็แสดงได้ ความอัศจรรย์ก็ไม่พึงมี. แต่เมื่อพระพุทธ-
เจ้าองค์เดียวแสดงธรรมอยู่ แม้เทศนาก็ย่อมเป็นธรรมอัศจรรย์ และเพราะไม่
เกิดความขัดแย้งด้วย ด้วยว่า เมื่อพระพุทธเจ้าหลายพระองค์ทรงอุบัติพร้อม
กันแล้ว สาวกทั้งหลายต่างก็จะพึงกล่าวขัดแย้งกันและกันว่า พระพุทธเจ้าของ
พวกเราเป็นผู้น่าเลื่อมใส พระพุทธเจ้าของพวกเรามีสุรเสียงเพราะ มีลาภมีบุญ
ดังนี้ ราวกะหลายอาจารย์กล่าวแก่งแย่งกันอยู่. แม้เพราะเหตุนั้น พระพุทธเจ้า
ทั้งหลาย จึงไม่ทรงอุบัติขึ้นพร้อมกัน ด้วยประการฉะนี้.
อีกอย่างหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ พระนาคเสนเถระ อันพระยามิลินท์ทรง
ถามแล้ว จึงให้พิสดารแล้วทีเดียว.
ก็ในเรื่องนั้น ท่านกล่าวไว้ ดังนี้

1. อัง.เอก. 20/.ข้อ 141

มิลินทปัญหา


ทวินฺนํ พุทฺธานํ โลเก นุปฺปชฺชนปญฺหา
(ปัญหาว่าด้วย การไม่บังเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า 2 พระองค์)
พระยามิลินท์ ตรัสถามว่า

ข้าแต่พระนาคเสน แม้พระพุทธพจน์
นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทราบภาษิตแล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระอรหันต-
สัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งสองพระองค์ พึงบังเกิดขึ้นไม่ก่อนไม่หลัง พร้อมกันใน
โลกธาตุอันเดียว ด้วยเหตุใด เหตุนั้น ไม่ใช่ฐานะที่มีได้ ดังนี้ เพราะเหตุไร ?
พระนาคเสนเถระ ทูลว่า ขอถวายพระมหาบพิตร พระตถาคต
แม้ทั้งปวงเมื่อทรงแสดง ย่อมทรงแสดงธรรมทั้งหลายอันเป็นฝักฝ่ายแห่งปัญญา
เครื่องตรัสรู้ 37 ประการเท่านั้น (โพธิปักขิยธรรม 37) ก็เมื่อจะตรัส ย่อม
ตรัสอริยสัจทั้ง 4 ก็เมื่อจะให้ศึกษา ย่อมให้ศึกษาในสิกขาทั้ง 3 ก็เมื่อพร่ำสอน
สอน ย่อมพร่ำสอนในการปฏิบัติเพื่อความไม่ประมาท ดังนี้.
พระราชา ตรัสถามว่า ข้าแต่ท่านนาคเสน ถ้าว่าเทศนาของพระ-
ตถาคตแม้ทั้งปวงเป็นอย่างเดียวกัน กถาก็อย่างเดียวกัน สิกขาก็อย่างเดียวกัน
การพร่ำสอนก็อย่างเดียวกัน เพราะเหตุไร พระตถาคต 2 พระองค์ จึงไม่
บังเกิดขึ้นในคราวเดียวกันเล่า อนึ่ง โลกนี้ มีแสงสว่างเกิดขึ้น ด้วยความ
บังเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าแม้องค์เดียวก่อน ถ้าว่า พระพุทธเจ้าองค์ที่ 2 พึง
บังเกิดขึ้นไซร้ โลกนี้พึงมีแสงสว่างเกิดแล้ว เกินประมาณด้วยแสงสว่างแห่ง
พระพุทธเจ้าทั้ง 2 พระองค์ มิใช่หรือ ก็พระตถาคตทั้งสอง เมื่อจะกล่าวสอน
ก็พึงกล่าวสอนง่าย (สะดวก) เมื่อจะพร่ำสอนพึงพร่ำสอนง่าย มิใช่หรือ ขอ
พระผู้เป็นเจ้า จงแสดงเหตุในข้อนั้นแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะพึงสิ้นความสงสัย
อย่างไร.